เว็บบราวเซอร์สมัยใหม่ถูกสร้างมาให้พยายาม แคช ข้อมูลที่เป็น static เช่น CSS, Javascript หรือแม้แต่รูปภาพ (มักไม่ cache ไฟล์ html) เพื่อให้การโหลดครั้งต่อไปทำได้เร็วขึ้นแน่นอนว่าก็เป็นเรื่องดี​ แต่ก็ย่อมมีข้อเสียตามมาคือ เมื่อเราแก้ไขเว็บ (แก้ทั้ง html, js, css) แล้วอัพโหลดผลการแก้ไขไปยังเซิฟเวอร์อาจจะทำให้ผู้ใช้เข้าไปใช้เว็บไม่ได้ หรือเข้าได้แต่ผลการแสดงไม่ถูกต้อง เนื่องก็ด้วย html ได้อันใหม่แต่ว่า js กับ css อาจจะยังได้ของที่อยู่ใน cache อยู่ ซึ่งแท้จริงแล้วผู้ใช้สามารถแก้ปัญหานี้ได้ด้วยการ refresh หน้าจอเพียงเท่านั้น browser ก็จะขอข้อมูลสดใหม่จาก server ซึ่งก็จะแก้ปัญหานี้ได้ แต่การแสดงหน้าเว็บที่ ไม่พร้อมใช้งาน ก็เป็นสิ่งที่รับไม่ได้เช่นกัน

เท่าที่ทราบเราไม่สามารถ บังคับ ให้ browser รีเฟรช ข้อมูลที่ cache จากคำสั่งทาง server โดยตรงได้ เพราะว่าสิทธิ์การแคชเป็นของ browser (และการ cache เป็นเรื่องดี เราก็ไม่อยากปิดระบบนี้) เช่น การโหลดไฟล์ สมมติ app.js ซึ่งได้ถูก cache ไว้ก่อนแล้ว ถ้า cache ยังไม่หมดอายุ browser จะไม่ถามไปยัง server ด้วยซ้ำว่าอันนี้เป็นของล่าสุดหรือเปล่า ? เพราะฉะนั้นในเมื่อ browser ไม่ถาม เราก็หมดสิทธิ์สั่งการ

แต่เดี๋ยวก่อน… เพราะว่ามีสิ่งหนึ่งที่ browser มักไม่ cache คือไฟล์ html นั่นเอง และการไม่ถูก cache ของ html นี่เองที่นำไปสู่การแก้ปัญหานี้! การแก้ปัญหาคือการใส่ query string ต่อท้าย resource ที่เราต้องการโหลดเช่น แทนที่จะเรียกแค่ app.js เราก็ต่อท้าย query string ไปด้วยเช่น app.js?version=10 ซึ่งแท้จริงแล้วการเปลี่ยน query string ก็ไม่ได้ทำให้เราได้ไฟล์ที่แตกต่างกันแต่อย่างใด เพราะยังไงมันก็ไปเรียก app.js มาให้เราอยู่แล้ว (เพราะว่าเราไม่ได้เขียนความหมายของ query string ไว้ มันก็ถูก ignore ไป) แต่ความต่างอยู่ที่ browser เพราะว่า browser ถือว่า query string ต่างกันจะใช้ cache ร่วมกันไม่ได้ เช่น app.js?version=10 กับ app.js?version=11 ก็จะไม่ถือว่าเป็นไฟล์เดียวกันเสียด้วยซ้ำ ด้วยเหตุนี้ หากเราต้องการ refresh cache ใน browser เราก็แค่เปลี่ยน query string ของไฟล์นั้น browser ก็จำต้องเรียก request มายัง server เพื่อขอไฟล์นี้อีกรอบ

ตัวอย่างแรก

แต่ก่อนเราจะเขียนแบบนี้

<head>
  <script src="app.js"></script>
</head>

เราก็แก้เป็น

<head>
  <script src="app.js?v=10"></script>
</head>

การใส่ v=10 หรือว่า version=10 หรืออะไรก็แล้วแต่ไม่ได้มีคุณค่าเชิงคุณภาพต่อ browser หรือ server แต่อย่างใด เพราะว่าฝั่ง server ก็ ignore query string นี้เหมือนกัน

เย่… เหมือนว่าเราแก้ปัญหาได้แล้ว ก็แค่ใส่ ?v=x ไปท้ายทุก ๆ ไฟล์ที่เราเรียก เช่น ไฟล์ .css .js เราก็จะหมดปัญหานี้ แล้วพอเราแก้ไฟล์พวกนี้เราก็แค่มาไล่แก้ทุก ๆ ที่ให้เป็น ?v=y แทน … ฟังดูเริ่มเหนื่อย

เพราะว่าที่จริงมันก็ควรจะง่ายขนาดที่มันแก้ให้เราเองเลย หรือไม่ก็แก้ด้วยมือให้น้อยที่ ๆ สุด มีหลายคนเสนอวิธีแก้แบบ fully-auto แต่ว่าต้องใช้ php เข้าช่วย ซึ่งในเคสผมผมไม่ต้องการให้มี php เข้ามายุ่งเลยแม้แต่น้อยทุกอย่างต้องถูกกำหนดก่อนมีการ deployment ลง server (ผมต้องการให้ front-end เป็น static ทั้งหมด การมี php เข้ามาเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ ๕๕๕) ผมจึงไม่เลือกใช้วิธีดังกล่าว

แบบที่น่าจะดีกว่า

แต่เนื่องจากผมใช้ gulp อยู่แล้ว จึงได้ไอเดียว่า แทนที่จะใส่

<head>
  <script src="app.js?v=10"></script>
</head>

เปลี่ยนเป็นเป็น placeholder บางแบบ แล้วค่อยให้ gulp มา string replace ให้เป็นเลขที่กำหนดดีกว่ามั้ย เพราะจะได้แก้เลขแค่ที่เดียวแต่ว่าแก้ค่านี้ได้ทั้ง project เช่น

<head>
  <script src="app.js?v=<#__VERSION__#>"></script>
</head>

ถ้าเป็นแบบนี้เราก็แค่โหลด plugin สำหรับ replace string ของ gulp แล้วตั้งค่าให้มัน สนใจเฉพาะไฟล์ที่เป็น html หรือไม่ก็ js เพราะใน project ผมมีแค่จาก html หรือ js ที่จะเรียกโหลดไฟล์อื่น ๆ ต่อได้ (บางกรณีอาจจะมี css ที่สามารถโหลดอันอื่นได้เช่นกัน แต่ไม่ใช่กรณีนี้)

ซึ่งผมก็จะแก้ gulpfile.js ของตัวเองเล็กน้อยโดยเพิ่ม ให้มีการ replace ก่อนที่จะมีการแปลงโค้ด jade เป็น html หมายเหตุ: ผมใช้ jade แทนการเขียน html

var replace = require('gulp-replace');
var VERSION = '10';

gulp.task('jade', function () {
  var dest = rootdir + 'html/';
  return gulp.src(rootdir + 'jade/**/*.jade')
    ... may be smoething here ...
    // replace any '<#_VERSION_#>' to '10' (according to VERSION)
    .pipe(replace('<#_VERSION_#>', VERSION))
    // compile jade
    .pipe(jade())
    .pipe(gulp.dest(dest))
    ... may be smoething here ...
});

วิธีนี้ ไม่ใช่ วิธีที่ดีที่สุด เพราะว่า

  1. มันยังไม่ automatic 100% เรายังต้องแก้ค่าตัวแปร VERSION อยู่ เมื่อต้องการเอาชนะ cache ของ browser
  2. หากมีการแก้ไฟล์เพียงไฟล์เดียว แต่เราก็ต้องแก้ค่า VERSION แล้ว ก็จะส่งผมให้ cache ของทั้งเว็บหายไป คือต้องโหลดใหม่ทั้งเว็บ ซึ่งแท้จริงแล้วก็ควรจะโหลดใหม่เฉพาะไฟล์ ๆ นั้นไฟล์เดียวก็พอแล้ว เราอาจจะเขียน gulpfile ให้ดีกว่านี้ก็อาจจะแก้ปัญหานี้ได้ แต่ไม่ได้แสดงให้ดูในที่นี้